เชิญร่วมตอบแบบสำรวจความคิดเห็นจากการรับฟัง Rti Podcast ลุ้นรับของรางวัลพิเศษ !
กรอกแบบสอบถามได้ที่:https://2023appsurvey.rti.org.tw/th
แขกรับเชิญในวันนี้ พาทุกคนมาร่วมพูดคุยกับข้าวฟ่าง นักเรียนไทยในไต้หวันที่กำลังจะเรียนจบปริญญาตรี โดยวันนี้ข้าวฟ่างจะมาแบ่งปันจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้มาเรียนต่อไต้หวัน เพื่อสานฝันให้คุณพ่อที่อยากเรียนภาษาจีน แต่รู้สึกว่าเกินวัยเรียนแล้ว จึงส่งลูกสาวมาเรียนภาษาจีน เรียนปริญญาและเรียนรู้การใช้ชีวิตในไต้หวัน นอกจากนี้ มาร่วมฟังความคิดเห็นของเด็กรุ่นนี้ ว่าเธอวางแผนในอนาคตอย่างไร เรียนต่อหรือว่าทำงาน? แล้วความท้ายทายที่เด็กจบใหม่รุ่นนี้ต้องเผชิญ จะเหมือนหรือแตกต่างจากคนยุคก่อนอย่างไร ข้าวฟ่างทิ้งท้ายตอนนี้ไว้ว่า เราต้องมีความสุขกับการมีชีวิตดีในทุกๆวัน คำพูดที่ว่านี้หมายถึงอะไร รวมไขปัญหาในรายการเลยค่ะ คลิกฟังรายการที่นี่
จุดเริ่มต้นที่มาไต้หวัน
เพราะว่าคุณพ่อมีความฝันตั้งแต่เด็กว่าแกอยากได้ภาษาจีน แต่แกพูดไม่ได้ คุณพ่อชอบดูซีรีย์ พ่อติดหนังจีนมาก นอนดูหนังจีนทุกวัน แล้วแกก็ฝันว่าแกอยากได้ภาษาจีน แต่แกรู้สึกว่าแกแก่แล้ว อีกอย่างหนึ่งคุณทำธุรกิจด้วย แกมองภาษาอังกฤษสำคัญ แต่ว่ายุคอนาคตภาษาจีนสำคัญกว่า แกก็เหมือนหาหนทาง ให้เราเรียนภาษาจีนมาตั้งแต่เล็กจนโต เพราะว่าตอนเด็กๆหนูไม่ชอบภาษาจีน ไม่เอาภาษาจีนได้ไหม คือเราชอบเรียนหนังสือ แล้วหนูเรียนวิทย์ คณิต เราก็อยากเรียนพิเศษฟิสิกส์ เคมี ชีวะ แต่คุณพ่อบอกว่าถ้าไม่เรียนภาษาจีนให้ พ่อก็จะไม่ให้เรียนพิเศษ เราก็แบบ ทำไมต้องมาบังคับเรา อะไรแบบนี้
มาไต้หวันได้ เพราะบังเอิญช่วงโควิด ตอนแรกจะส่งไปจีนแต่ไปไม่ได้ เพราะจีนไม่ให้เข้า ก็เลยได้มาไต้หวัน ก่อนหน้านั้นคุณพ่อก็มาสำรวจก่อน แล้วคุณพ่อมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ด้วย แกก็เลยไว้ใจ เลยจับเราโยนมาเลย (หัวเราะ) โยนมาจริงๆ เพราะมีอยู่วันหนึ่ง เรานั่งเรียนอยู่ในห้อง แล้วพ่อก็โทรมาบอกว่า “ออกมาหน้าโรงเรียนนะ ป๊ามารับ” เราก็ “ไปไหนอ่ะป๊า” ป๊าบอกว่า ป๊าติดต่อเอเจนซี่ไว้แล้ว เดี๋ยวไปหาเอเจนซี่ “ไปไหนอ่ะ” “ไปไต้หวันไง…” เรื่องราวก็ประมาณนี้ อยู่ดีๆก็จับพลัดจับผลูมาไต้หวัน
ก่อนหน้านั้น เราเคยมาเที่ยวไต้หวันแล้ว เหมือนมาสำรวจ มาแรกๆกินชานมวันละ 3 แก้ว ตอนแรกอยู่ไทยได้ข่าวมาว่า คนอยู่ไต้หวันกินชานมเป็นน้ำ เราก็รู้สึกว่า เป็นไปได้ยังไง มันเป็นเรื่อง impossible มากๆที่เราอยู่ไทยแล้วกินชานมเป็นน้ำได้ ปกติน้ำก็ยังแทบจะไม่ค่อยกินเลย พอมาไต้หวันมันทำได้ เรารู้สึกว่าความเป็นนมของไต้หวัน กับความเป็นนมของไทยมันไม่เหมือนกัน เรารู้สึกว่านมไทยมีความเป็นน้ำมากกว่า แต่ของไต้หวันมันละมุน พูดไม่พูด ต้องไปซื้อมาลองกินคนละแก้ว
ชีวิตต่างจากที่คิดไหม
แตกต่างนะ ตอนแรกอยู่ไทย อยู่กับคุณยาย 3 คน เป็นน้าแม่ แม่แม่ อาแม่ พวกท่านก็จะเลี้ยงเรามาอย่างดี มีคนคอยดูแล แล้วพอมาไต้หวัน อยู่หอ ช่วงแรกกักตัว 21 วัน ก็ยังโอเค ไม่ได้ทำอะไร แต่พอเริ่มอยู่หอ รับรู้ถึงความรักของยายเลย เพราะเราต้องเจอกับดีเทลชีวิตอะไรหลายๆอย่างที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน คนฟัง/คนอ่าน อ่านแล้วอาจจะเกลียดเราไหม แต่คือแบบเราต้องหอบผ้าเราไปซัก ซึ่งมันเยอะมาก คือเราเคยซักผ้านะ แต่เราไม่ได้ต้องมาทำมันเป็นกิจวัตรประจำวันขนาดนั้น ซึ่งเมื่อก่อนอยู่หอ และหอไกลจากมหาวิทยาลัยมาก ต้องนั่งรถจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง ประมาณสี่สิบนาทีถึงจะถึง
มาแรกๆเป็นยังไง ปรับตัวยากไหม
ปรับตัวไม่ได้ ร้องไห้ทุกวัน มันเหมือนอยากกลับบ้านก็กลับไม่ได้เพราะโควิด จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ ก็เลยดามใจด้วยการไปหาอะไรกินทุกวัน เดินทุกตลาดนัด ส่วนในด้านการสื่อสาร โชคดีที่เราเรียนหลักสูตรภาคอินเตอร์ของมหาวิทยาลัย เพื่อนๆพูดภาษาอังกฤษได้หมดเลย จริงๆ ถ้าอยู่ชีวิตปกติ ไม่ได้บีบบังคับตัวเองในการเรียนภาษาจีน เราว่าก็อยู่ได้ เพราะคนไต้หวัน nice มาก ในมุมของเราคือ ถ้าจะมาอยู่และเรียนคณะที่ใช้ภาษาอังกฤษ ที่ไม่ต้องใช้ภาษาจีนเลย เราว่าอยู่ได้สบาย
แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่า พ่อส่งเรามา แกอยากให้เราได้ภาษาจีน เราก็ทำความฝันนั้นให้แก โชคดีที่มีเพื่อนคนไต้หวันสอนภาษาจีนให้กับเรา ซึ่งตอนแรกๆก็เครียด เพราะทำยังไงก็ไม่ได้ภาษาจีนสักที เราก็บี้ตัวเองอ่านหนังสือ เปิดพจนานุกรมทุกวัน เดินไปไหน ผ่านป้ายอะไร ก็เสิร์ชค้นหาภาษาจีนตลอด เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องทำให้ได้
ในปีแรกๆ เราก็ใช้แอปแปลภาษาเป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนช่างพูด พูดมาก พูดไปเรื่อยๆ แล้วมีความพยายามบี้ตัวเองให้พูดให้ได้ เราก็ทำทุกอย่างด้วยภาษาจีน เราก็สรรหาคนไต้หวันมาพูดภาษาจีนด้วย ซึ่งมีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟัง คือเรามีเพื่อนไต้หวันที่เราคุยกับเขาเป็นภาษาจีนมา 3 ปี จนปี 3 เพื่อนบอกว่า เธอพูดภาษาจีนได้แล้วเหรอ เราก็ขำว่า แล้วที่พูดมา 3 ปีไม่ใช่ภาษาจีนเหรอ ก็ไม่รู้ว่าเป็นการรักษาน้ำใจ หรือเข้าเล่นมุกกับเรา (หัวเราะ) ซึ่งจริงๆ เราเริ่มรับงานล่ามตั้งแต่ปี 2 เพราะคุณพ่อทำธุรกิจ เราก็มีแปลล่ามปากเปล่าให้แกบ้าง
ตั้งเป้าหมายอนาคตไว้อย่างไร
เคยคิดไว้ว่าอยากเรียนต่อ แต่ไม่ได้อยากเรียนต่อทันที เราอยากทำงานก่อนสักช่วงหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนเคยถามคุณแม่ว่า แม่ทำงานก่อนหรือว่าเรียนก่อน แม่บอกว่าแม่ทำงานก่อน เราก็ถามว่าเรียนต่อเลยไม่ได้เหรอ แม่บอกว่าปริญญาโทบางอย่างมันต้องใช้ประสบการณ์ ก็ไปหาประสบการณ์ก่อนก็ได้ เพราะว่าปริญญาโทเขาไม่ได้กำหนดว่าต้องอายุเท่าไหร่ หรือห้ามเกินเท่าไหร่ถึงจะเรียนได้ เราก็เลยคิดว่า โอเค งั้นเราก็ทำงานก่อนก็ได้ แล้วพอมาอยู่ไต้หวัน มาฝึกงาน ได้มาอยู่กับสังคมไต้หวันจริงๆ ก็เลยคิดว่า ฝึกงานก่อนก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าพอไปทำงานจริงๆ เราจะค้นพบว่าสายที่เราเรียนมา เราชอบหรือเปล่า รู้สึกว่าการไปทำงานมันทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้นมาเราชอบ หรือไม่ชอบ แล้วเราจะอยู่กับมันได้ตลอดไหม แล้วก็ได้รู้จักคนเยอะมากขึ้น ได้คำแนะนำจากประสบการณ์ของพวกเขามากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้เรามาไตร่ตรองอีกทีได้ว่า ปริญญาโทเราอยากเรียนต่อไหม หรือทำงานต่อดี
ความท้าทายที่คนยุคนี้ต้องเผชิญคืออะไร ต่างจากยุคพ่อแม่ไหม
เรารู้สึกว่าคนในยุคพ่อแม่ เคยได้ยินพ่อบอกว่า ตั้งใจเรียนนะ เรียนหนังสือดีๆ เรียนสูงๆ จะได้มีงานทำดีๆ แต่พอเราไปอ่านข่าว ไปอ่านทวิตเตอร์ เรียนสูงๆไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะดี เราเลยบอกว่ายุคนี้มันยากตรงที่ ไม่ใช่ว่างานทุกงานเราจะชอบ และไม่ใช่ว่างานทุกงานจะชอบเรา และไม่ใช่ว่าเราจะหางานทำได้ง่ายๆ เรารู้สึกว่าเราอยากมีความสุขในชีวิตมากกว่าคนในเมื่อก่อน เราให้คุณค่ากับความหมายของชีวิตต่างจากคนสมัยก่อน ค่านิยมของคนสมัยก่อน จะรู้สึกว่า ถ้ามีงานที่มั่นคง มีครอบครัวที่ดี คือชีวิตที่ดี แต่สำหรับคนในยุคนี้ มันไม่พอ เรารู้สึกว่า เราต้องมีความสุขกับการมีชีวิตดีในทุกๆวัน
ชีวิตดีในทุกๆวัน ไม่ได้หมายความว่ามันต้องดี๊ดี
แต่อย่างน้อยก่อนนอนเรารู้ว่าเราแบบ ได้อะไรบ้างในวันนั้น~~
เชิญร่วมตอบแบบสำรวจความคิดเห็นจากการรับฟัง Rti Podcast ลุ้นรับของรางวัลพิเศษ !
กรอกแบบสอบถามได้ที่:https://2023appsurvey.rti.org.tw/th