9 มิ.ย. 63 - เราเกิดมาเพื่อสร้างกรรมดี : คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างกรรมใหม่ที่ดีกว่าเดิม เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้น แม้แต่ในยามที่เรานอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ไม่สามารถเขยื้อนขยับหรือทำอะไรได้เลย เราก็ยังสามารถคิดดีหรือน้อมนึกในทางกุศลได้ ซึ่งจัดว่าเป็นมโนกรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นเราจึงสามารถทำดีได้ตลอดเวลา และกรรมดีนั้นย่อมก่อให้เกิดผลดีอย่างน้อยก็ต่อจิตใจของเรา
ความเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม มักทำให้ผู้คนยอมจำนนต่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตน โดยถือเสียว่าเป็นวิบาก แต่การคิดเช่นนี้ทำให้เราเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยวิบากฝ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่เราสามารถใช้วิบากนั้นให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น เมื่อล้มป่วย (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดจากกรรมในอดีตชาติ แต่อาจเกิดจากกรรมในปัจจุบันชาติ เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ ) เราสามารถใช้ความเจ็บป่วยนั้นเป็นเครื่องสอนใจให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของชีวิต รวมทั้งเตือนใจไม่ให้ประมาทกับชีวิต เร่งทำความดี หรือใช้ช่วงเวลาที่ล้มป่วยในการศึกษาปฏิบัติธรรม หลายคนพบว่าความเจ็บป่วยนั้นให้ประโยชน์แก่ตนอย่างมากมายจนถึงกับอุทานว่า “ขอบคุณที่เป็นมะเร็ง” แต่จะมีประสบการณ์อย่างนั้นได้ก็เพราะไม่มัวแต่คิดว่าตนกำลังใช้กรรม หรือก้มหน้ารับกรรมอย่างเดียว
จะว่าไปแล้วเราทุกคนทำกรรมตลอดเวลา แม้แต่วินาทีที่คิดว่าเรากำลังใช้กรรม วินาทีนั้นเราได้สร้างกรรมใหม่แล้ว นั่นคือการยอมรับหรือยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งย่อมก่อให้เกิดวิบากใหม่ตามมา ซึ่งมีทั้งแง่บวกและแง่ลบ เช่น หากล้มป่วยแล้วถือว่าใช้กรรม ในด้านหนึ่งก็ช่วยให้เราทำใจได้ ไม่ตีอกชกหัว แต่เมื่อทำใจแล้วไม่ยอมรักษา ก็ย่อมทำให้โรคลุกลามมากขึ้น โรคที่ลุกลามนี้ย่อมมิใช่เป็นเพราะกรรมเก่าอันไกลโพ้น แต่เกิดจากการนิ่งเฉยเพราะคิดว่าใช้กรรมนั่นเอง
กฎแห่งกรรมเป็นแนวคิดทางพุทธศาสนาที่คนไทยคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็ก แต่กลับเป็นเรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดมากที่สุด (เช่นเดียวกับเรื่อง “บุญ”) จนเหมารวมว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับตนล้วนเป็นผลจากกรรมเก่าในอดีตชาติ โดยมี “เจ้ากรรมนายเวร” เป็นตัวการใหญ่ ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะแก้ไขหรือจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นให้ตรงกับเหตุและผล (เช่น เจ็บป่วยก็ต้องรักษาและดูแลสุขภาพ) กลับไปเสาะแสวงหากรรมวิธีต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับเหตุปัจจัย แถมลี้ลับพิสดาร เปิดโอกาสให้บางคนแสวงหาผลประโยชน์จากความเชื่อดังกล่าว
กฎแห่งกรรมหากเข้าใจถูกต้อง ย่อมส่งเสริมให้ผู้คนทำความดี สร้างบุญกุศล ฝึกฝนพัฒนาตน รวมทั้งช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในทางตรงข้ามหากเข้าใจผิด ก็ทำให้ชีวิตตกต่ำ อยู่ด้วยความกลัว หรือเห็นแก่ตัว (เช่น ไม่กล้าช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน เพราะกลัวว่าเจ้ากรรมนายเวรของเขาจะมาทำร้ายเราแทน) รวมทั้งจมอยู่ในความลุ่มหลงงมงาย เอาพิธีกรรมพิสดารต่าง ๆ เป็นสรณะ ไม่รู้จักพึ่งตน หรือใช้สติปัญญาเพื่อพัฒนาชีวิตให้เจริญงอกงาม สุดท้ายย่อมทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่น่าอยู่ ผู้คนไร้น้ำใจต่อกัน คิดแต่จะเอาตัวรอดอย่างเดียว