บันทึกชีวิตในไต้หวัน : คุณมิ้วจาก bgn squad ชวนคุยทำความรู้จักวงการบอร์ดเกมไทย-ไต้หวัน
บันทึกชีวิตในไต้หวันสัปดาห์นี้ จะชวนทุกคนมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องบอร์ดเกม พูดถึงบอร์ดเกม ต้องบอกว่าไต้หวันถือเป็นสังคมที่มีการเล่นบอร์ดเกมมายาวนาน ช่วงวันหยุด หรือว่างๆ หนึ่งในกิจกรรมที่ชาวไต้หวันไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน หรือวัยทำงานมักจะชอบทำคือ ชวนกันไปนั่งเล่นที่คาเฟ่บอร์ดเกม เพื่อเล่นเกมและพูดคุยกันในวงเพื่อน นอกจากไต้หวันแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ วงการบอร์ดเกมในเมืองไทยก็มีการเติบโตอย่างมากเช่นกัน หนึ่งในผู้ผลิตบอร์ดเกมชื่อดังสัญชาติไทย ก็คือ bgn squad ที่เติบโตมาจากรายการบอร์ดเกมไนท์ (BGN) แห่งช่อง TVmunk รายการแคสต์บอร์ดเกมรายการแรกของประเทศไทย ที่รีวิววิธีเล่นบอร์ดเกมต่างๆ จนปัจจุบัน เติบโตมาเป็นผู้ผลิตบอร์ดเกมของตัวเอง ที่สามารถตีตลาดมาถึงไต้หวัน หนึ่งในเกมที่เป็นที่นิยมที่สุดของ bgn squad จนชาวไต้หวันต้องรีวิว คือเกม KONGKANG ที่แข่งกันว่าคิงคองตัวไหนได้กล้วยเยอะที่สุดจะเป็นผู้ชนะ นอกจากนี้ bgn squad ยังมีบอร์ดเกมอื่นๆอีกหลายชิ้น อาทิ เกม I’m stuck in the Lift ฉันติดอยู่ในลิฟท์ หรือ เกม LOTTO เป็นต้น และในปีนี้ ยังได้ออกเกมตัวใหม่ชื่อเกมผีถ้วยแก้ว ที่เพิ่มเอกลักษณ์ความเป็นการละเล่นไทยเข้าไปในเกมได้อย่างลงตัว สัปดาห์นี้ เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณมิ้ว หนึ่งในผู้ก่อตั้ง bgn squad ที่เดินทางดูงานวงการบอร์ดเกมในไต้หวัน จะมาร่วมพูดคุย พาทุกคนไปรู้จักกับวงการบอร์ดเกมว่ามันคืออะไร วงการบอร์ดเกมในไต้หวันและไทยมีความแตกต่างกันอย่างไร และการเติบโตของบอร์ดเกมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีปัจจัยจากอะไร ไปรับฟังเรื่องราวที่น่าสนใจพร้อมกันในรายการเลยค่ะ คลิกฟังรายการที่นี่ บอร์ดเกมของ bgn squad เพิ่มกลิ่นอายสไตล์ไทยๆเข้าไปในการออกแบบเกม
บันทึกชีวิตในไต้หวัน : ร้านหนังสืออาเซียน Brilliant Time Bookstore เตรียมปิดฉาก หลังเปิดให้บริการมานานนับ 10 ปี
ร้านหนังสือชั่นลั่นสือกวง (燦爛時光書店 Brilliant Time Bookstore) ร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่สถานีหนานซื่อเจียว เขตจงเหอ นครนิวไทเป ซึ่งเปิดดำเนินการมาเป็นเวลา 10 ปี กำลังจะปิดตัวลงในเดือนเมษายนปีนี้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ร้านหนังสือแห่งนี้เปิดทำการโดยยึดหลัก "ให้ยืมแต่ไม่ขาย" กลายเป็นหน้าต่างแห่งจิตวิญญาณของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และแรงงานต่างชาติจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชาวไต้หวันกับวัฒนธรรมต่างชาติอีกด้วย นายจางเจิ้งและนางเลี่ยวหยุนจาง สองสามีภรรยาผู้ก่อตั้งร้านหนังสือชั่นลั่นสือกว นายจางเจิ้งและนางเลี่ยวหยุนจาง สองสามีภรรยาผู้บุกเบิกประเด็นเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไต้หวัน เป็นผู้ก่อตั้งร้านหนังสือชั่นลั่นสือกวง พวกเขากล่าวว่าจุดเริ่มต้นของการเปิดร้านหนังสือแห่งนี้ คือการสร้างพื้นที่ที่ช่วยให้แรงงานต่างชาติจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มาทำงานในไต้หวันสามารถสัมผัสถึงวัฒนธรรมของตนเอง ทำให้พวกเขาสามารถค้นพบความสบายใจและความเป็นอิสระในต่างชาติ จางเจิ้งเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีต มีผู้อนุบาลชาวอินโดนีเซียคนหนึ่งเคยบอกว่า "การอ่านทำให้ฉันเป็นอิสระ" คำพูดนี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้ง และทำให้เขามีความมุ่งมั่นที่จะรักษาร้านหนังสือแห่งนี้ไว้มากยิ่งขึ้น ร้านหนังสือชั่นลั่นสือกวง เป็นร้านหนังสือเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดให้บริการครั้งแรกเดือนเมษายนของปีค.ศ. 2015 หนังสือในร้านส่วนใหญ่มาจากการบริจาคของประชาชนทั่วไป โดยเริ่มต้นจากกิจกรรม 「帶一本自己看不懂的書回台灣」 "นำหนังสือที่ตัวเองอ่านไม่ออกกลับมาไต้หวัน" ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร CommonWealth Magazine (天下雜誌) เมื่อ 10 ปีก่อน หนังสือเหล่านี้ช่วยคลายความคิดถึงบ้านของแรงงานต่างชาติที่ต้องใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และยังเป็นเหมือนประภาคารที่ส่องสว่างในชีวิตของพวกเขาอีกด้วย นายจางเจิ้งยิ้มและเล่าย้อนถึงการเริ่มต้นเปิดร้านแห่งนี้ว่า หลังจากความคิดอยากเป็นร้านหนังสือแวบเข้ามาในหัวเขา เขาก็เข้าไปขอพรกับเหล่าเทพในเฟซบุ๊กว่า อยากได้ที่ทำเลดีๆ สำหรับการเปิดร้านหนังสือ วันรุ่งขึ้นมีเพื่อนเดินผ่านมหาวิทยาลัยชุมชนจงเหอ และเห็นป้ายประกาศให้เช่าอาคารเก่าแต่ต้องปรับแต่งหลายที่ เขากับภรรยาและอาสาสมัครทั้งหลาย ได้ช่วยกันระดมความคิดสร้างสรรค์ปรับปรุงอาคารเก่าให้กลายเป็นร้านหนังสือ การก่อตั้งร้านหนังสือแห่งนี้ เต็มไปด้วยเรื่อมราวแห่งความอบอุ่นและน้ำใจจากผู้คนมากมาย นายจางเจิ้ง ผู้ก่อตั้งร้านเล่าว่า ในตอนแรกชั้นวางหนังสือ โต๊ะ และเก้าอี้ส่วนใหญ่ได้มาจากการบริจาคของผู้คน ส่วน พื้นในร้านหนังสือ ก็มาจากน้ำใจของช่างประปาคนหนึ่ง เมื่อครั้งที่ช่างคนนี้มาทำงาน เขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นอาสาสมัคร หลั่งไหลเข้ามาช่วยงานร้านหนังสือกันไม่ขาดสาย หลังจากทราบว่า ร้านหนังสือแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อแรงงานต่างชาติและผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เขาจึงตัดสินใจบริจาควัสดุสำหรับทำพื้นร้าน และยังลงมือสอนอาสาสมัครให้ช่วยกันปูพื้นด้วยตัวเอง คุณเลี่ยวหยุนจางเล่าว่า การออกแบบและตกแต่งร้านหนังสือซั่นหลั่นสือกวงว่า เต็มไปด้วยองค์ประกอบของวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนผนังมีภาพเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากร้านหนังสือเปิดทำการในช่วงสงกรานต์ ซึ่งเป็นเทศกาลที่สำคัญมากของภูมิภาคนี้ ในภาพมีรูปช้างกำลังพ่นน้ำ หยดน้ำที่พ่นออกมาเป็นรูปธงชาติของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการคารวะวัฒนธรรมอุษาคเนย์ ซึ่งเป็นภาพที่นักจิตรกรอาสาสมัครชาวจีหลงกับลูกชายของเขา ใช้เวลาใช้เวลาร่วมสามวันในการวาดภาพนี้ ส่วนอีกด้านหนึ่งของร้านเป็นภาพป่าฝนเขตร้อน ที่คุณแม่ของนายจางเจิ้งเป็นผู้วาดขึ้นมา โดยนายจางเจิ้งเผยว่า อยากให้ผู้อ่านนึกภาพว่าตัวเอง กำลังอ่านหนังสืออยู่ในสภาพแวดล้อมป่าฝนเขตร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภูมิภาคนี้ ชั้นที่สองของร้านหนังสือ มีพื้นที่สำหรับการบรรยาย ซึ่งในแต่ละปีมีการจัดบรรยายประมาณ 300 ครั้ง ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ เช่น วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเรียนรู้ภาษา และแม้แต่ประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ ค่าเข้าฟังการบรรยายอยู่ที่ 100-200 เหรียญไต้หวัน ซึ่งเป็นราคาที่ย่อมเยา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถเข้าร่วมและได้รับแรงบันดาลใจจากการฟัง ชั้นที่สามเป็นห้องเรียนภาษา นอกจากจะส่งเสริมให้ชาวต่างชาติได้เป็นผู้สอนภาษาของตัวเองแล้ว ยังช่วยให้คนไต้หวันได้เรียนรู้ภาษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย โดยที่ผ่านมาได้เปิดคอร์สสอนภาษาเวียดนาม อินโดนีเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์และไทย กิจกรรมสนทนาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่างๆ กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ร้านหนังสือชั่นลั่นสือกวง กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความรู้ แต่ยังเป็นสถานที่สำคัญในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม นายจางเจิ้งกล่าวว่า แม้ร้านหนังสือกำลังจะปิดตัวลง แต่อิทธิพลและคุณค่าที่สั่งสมมาตลอดสิบปี จะประทับอยู่ในใจของทุกคนที่เคยมีส่วนร่วมอย่างไม่ลืมเลือน ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ร้านหนังสือชั่นลั่นสือกวงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ยืมหนังสือเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการอ่านที่น่าประทับใจมากมาย จางเจิ้งเล่าถึงหนึ่งในเรื่องที่ประทับใจว่า มีแรงงานชาวอินโดนีเซียคนหนึ่งเดินทางจากเมืองเถาหยวนมาที่ร้านหนังสือเป็นประจำ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมักจะพาเพื่อนๆและกีตาร์มาที่นี่ พร้อมทั้งเล่นเพลงพื้นบ้านของตัวเองที่นี่ ทำให้ร้านหนังสือเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมอาเซียนซึ่งมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ส่วนนางเลี่ยวหยุนจาง หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้านก็แบ่งปันเรื่องราวที่ตนเองประทับใจเช่นกัน เธอเล่าว่า มีผู้อนุบาลชาวอินโดนีเซียรายหนึ่งชื่อ Yusni อายุประมาณ 30 ปี เธอมายืมหนังสือที่ร้านตั้งแต่ปีแรกที่เปิดให้บริการ สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือ หนังสือเล่มแรกที่เธอยืมคือหนังสือภาษาจีน สองสัปดาห์หลังจากนั้น เมื่อเธอนำหนังสือมาคืน จึงทำให้รู้ว่า เธอเรียนภาษาจีนด้วยตัวเองจากการดูโทรทัศน์และจากเพื่อนบ้าน โดยสิ่งที่เธอทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ตนเองสามารถสื่อสารกับอาม่าชาวไต้หวันที่เธอดูแลได้นั่นเอง ร้านหนังสือแห่งนี้ ยังช่วยให้ Yusni ได้ทำความรู้จักไต้หวันอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เธอไม่เพียงหลังรักเพลงของไต้หวัน แต่เธอยังเริ่มเขียนบล็อกบันทึกชีวิตในไต้หวันของเธออีกด้วย หลังจากกลับไปประเทศอินโดนีเซีย เธอได้ใช้ทักษะทางภาษา กลายเป็นนักแปล โดยตอนนี้เธอทำงานเป็นหัวหน้าแผนกในบริษัทสัญชาติไต้หวันที่ตั้งอยู่ในอินโดนีเซีย และยังคงติดต่อกับร้านหนังสืออยู่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดความผูกพันที่แนบแน่นระหว่างไต้หวันกับอินโดนีเซียในอีกรูปแบบหนึ่ง นายเซี่ยฟาถิงพนักงานของร้านหนังสือ นายเซี่ยฟาถิงพนักงานของร้านหนังสือเล่าว่า สิ่งที่ประทับใจที่สุดในการทำงานที่นี่ คือการได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับลูกค้า มีลูกค้าหลายคนเข้ามาในร้านไม่ใช่เพื่อยืมหนังสือ แต่มาพูดคุย ทำความรู้จักและหาเพื่อน ทำให้ที่นี่ไม่เพียงเป็นสถานที่สำหรับยืมหนังสือเท่านั้น แต่ยังเป็นที่พักพิงทางจิตวิญญาณสำหรับใครหลายๆคนอีกด้วย อาจู้ อดีตพนักงานของร้านเล่าด้วยรอยยิ้มว่า ตอนที่เข้ามาทำงานใหม่ ๆ เขาคิดว่าเจ้าของร้านแค่ทุ่มเทความรักในการบริหารร้านหนังสือเท่านั้น แต่ต่อมาถึงค้นพบว่า แท้จริงแล้ว เจ้าของร้านกำลังใช้ทั้งเวลา เงินทองและแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองไปเพื่อร้านนี้ แม้ว่าเงินเดือนที่นี่จะไม่สูง แต่อาจู้ก็ไม่เคยบ่นเลย เพราะอาจู้ได้เห็นการอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวของเจ้าของร้าน และเข้าใจอย่างแท้จริงว่าความมุ่งมั่นและการทุ่มเทคืออะไร คุณหลิน นักศึกษาหญิงจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เล่าว่า หลังจากฟังงานบรรยายของนักวิชาการชาวญี่ปุ่นที่พูดถึงประเด็นแรงงานต่างชาติชาวอินโดนีเซียเมื่อปีที่แล้ว เธอจึงเริ่มมาอ่านหนังสือที่นี่และเริ่มเรียนภาษาอินโดนีเซียในปีเดียวกัน เมื่อตอนที่ทราบข่าวว่าร้านจะปิดตัวลง เธอจึงรู้สึกใจหายและเสียดายไม่น้อย นางเลี่ยวหยุนจางโพสข้อความบนเฟซบุ๊กว่า คุณครูเสิ่นป๋อเพ่ย ครูสอนภาษาไทยประจำร้านหนังสือชั่นลั่นสือกวงบอกกับเธอว่า “แทนที่จะมองหาเพื่อนที่จะออกเดินทางด้วยกัน ลองมองหาเพื่อนระหว่างทางดีกว่า” นี่คือคติประจำใจของเขา และเป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ตลอดสิบปีของการสอนภาษาไทยที่นี่ คุณเสิ่นป๋อเพ่ยที่มีรอยยิ้มสดใสเสมอบอกกับเธอว่า ร้านหนังสือแห่งนี้มีพลังงานบางอย่างที่พิเศษมาก ทำให้ผู้คนเกิดความผูกพัน เขาเคยสอนมาหลายที่ แต่ที่นี่นักเรียนมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ถึงขั้นชวนกันไปเที่ยวต่างประเทศเลย คุณครูเสิ่นฯเริ่มเปิดคอร์สสอนภาษาไทยตั้งแต่เดือนแรกที่ร้านชั่นลั่นสือกวงเปิดให้บริการ คลาสเรียนวันอาทิตย์ของเขาเปิดสอนต่อเนื่องมานานถึง 10 ปี ถึงแม้ในช่วงโควิดจะต้องปรับเป็นการเรียนออนไลน์ แต่พอสถานการณ์ดีขึ้น นักเรียนต่างเรียกร้องให้กลับมาเรียนที่ร้านหนังสือเหมือนเดิม เหตุใดห้องเรียนแคบๆบนอาคารเก่าๆแบบนี้ ถึงทำให้ผู้คนรู้สึกผูกพันได้เพียงนี้ คุณครูเสิ่นฯเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนตอบว่า "เพราะพื้นที่ที่เล็กทำให้ทุกคนต้องนั่งใกล้กัน ต้องเบียดกันเรียน พออยู่ใกล้กันไปนาน ๆ ก็สนิท มีความผูกพันกันที่ต่างจากห้องเรียนกว้างๆยิ่งนัก" ตลอดสิบปีของการสอนภาษาไทยที่ร้านชั่นลั่นสือกวงของครูเสิ่นฯ ช่วงที่พีคที่สุด เขามีคลาสสอนทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ บางวันหยุดต้องสอนตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม คุณครูเสิ่นฯเล่าติดตลกว่า “ฉันใช้เวลาอยู่ที่ชั่นลั่นสือกวงเยอะกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก” เลี่ยวหยุนจางเล่าว่า ความผูกพันของคุณครูเสิ่นฯที่มีต่อร้านหนังสือแห่งนี้ ลึกซึ้งจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ห้องสมุดเคลื่อนที่ ให้บริการที่ห้องโถงสถานีรถไฟไทเปทุกวันอาทิตย์ เวลา 14:00 - 18:00 น. นายจางเจิ้งกล่าวว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลังจากพยายามทำงานด้านการผลักดันประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันห้องสมุดใหญ่ ๆ ในไต้หวันเริ่มมีหนังสือเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญและการสนับสนุนวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสังคมไต้หวันที่มากขึ้น ทำให้เขารู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวว่า "ภารกิจของร้านชั่นลั่นสือกวงได้สำเร็จลุล่วงแล้ว" โดยแรงงานต่างชาติและผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สามารถเข้าถึงวัฒนธรรมบ้านเกิดในต่างแดน ถึงแม้วันนี้ร้านหนังสือจะปิดตัวลง แต่เมล็ดพันธุ์แห่งวัฒนธรรมเหล่านี้ จะยังคงหยั่งรากและเติบโตแตกหน่อต่อไปในทุกมุมของไต้หวัน นายจางเจิ้งเผยว่า ในอนาคต ทีมงานชั่นลั่นสือกวงจะตั้งแผงให้บริการยืมหนังสือฟรีทุกวันอาทิตย์ เวลา 14:00 - 18:00 น. ที่ห้องโถงสถานีรถไฟไทเป โดยหวังว่าหนังสือเหล่านี้จะยังคงหมุนเวียน เพื่อให้ผู้คนได้รับประโยชน์ต่อไป และหวังว่าพลังของตัวอักษร จะส่องแสงนำทางและปลอบประโลมความรู้สึกคิดถึงบ้านของผู้คนที่จากบ้านเกิดมาทำงานในต่างแดนต่อไป
บันทึกชีวิตในไต้หวัน : ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ช่วยให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เชื่อมโยงกับชีวิตในไต้หวันอย่างไร
บันทึกชีวิตในไต้หวันสัปดาห์นี้ นำเอาบทความจากคอลัมน์ opinian ของนิตยสาร CommonWealth มาเล่าสู่กันฟัง บทความนี้มีชื่อว่า ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ช่วยให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เชื่อมโยงกับชีวิตในไต้หวันอย่างไร เป็นบทความที่เขียนโดยเสิ่นเจียเหว่ย นักเรียนชั้นปริญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน บรรยายถึงการทำงานของศูนย์บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ในการดูแลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวัน ตั้งแต่การปรับตัวในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการคำปรึกษาด้านกฎหมายและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ใช้ชีวิตในไต้หวันได้อย่างอุ่นใจ และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับไต้หวัน คลิกฟังรายการที่นี่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มาตั้งรกรากในไต้หวันผ่านการแต่งงาน การย้ายถิ่นฐานมากขึ้นเรื่อยๆ ไต้หวันได้กลายเป็นชีวิตบทใหม่ของพวกเขา จากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ณ สิ้นปี 2567 ไต้หวันมีจำนวนประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไต้หวันเกิน 590,000 คน คิดเป็น 2.5% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของไต้หวัน โดยส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่และประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากจำนวนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวันเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี พ.ศ. 2549 กระทรวงมหาดไทย ไต้หวันจึงได้ดำเนิน “โครงการศูนย์บริการครอบครัวคู่สมรสต่างชาติ” ภายใต้กองทุนพัฒนาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เมืองต่างๆ ทั่วไต้หวันได้ทยอยจัดตั้งศูนย์บริการครอบครัวคู่สมรสต่างชาติ เดิมทีศูนย์บริการเหล่านี้ไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ต่อมาส่วนใหญ่เปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่” หรือ 新住民家庭服務中心 โดยแต่ละเขตเมืองมีจำนวนศูนย์บริการฯและวิธีการดำเนินการที่แตกต่างกันไป ตามทรัพยากรและโครงสร้างของประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในเมืองนั้นๆ จวบจนปัจจุบัน ทั่วไต้หวันมีศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ทั้งหมด 40 แห่ง ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้บริการและช่วยเหลือผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในการแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ของชีวิตประจำวันในไต้หวัน ศนย์บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ทำอะไร? หลังจากมาถึงไต้หวัน ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มักเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เช่น การปรับตัวทางวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ในครอบครัว การมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชน การปรับตัวในการใช้ชีวิต อุปสรรคทางภาษา การเลี้ยงดูบุตร การทำงาน รวมถึงกฎระเบียบทางกฎหมาย พวกเขาต้องการเวลาและทรัพยากรเพื่อปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ โดยส่วนใหญ่ ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จะรู้จักศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ผ่านการแนะนำของญาติมิตรหรือหน่วยงานภาคประชาสังคม และมักติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านทางโทรศัพท์หรือการเข้ามาสอบถามที่ศูนย์โดยตรง เฉินซือเจี๋ย (陳思捷) นักสังคมสงเคราะห์ จากศูนย์ส่งเสริมพลังสตรีและผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เขตเฟิงหยวน ในนครไทจง ที่ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์มานานกว่า 7 ปี ได้ให้ความช่วยเหลือพี่น้องผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่หลายคน เธอกล่าวว่า เมื่อครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เผชิญกับความขัดแย้งหรือความเข้าใจผิดอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจภาษาหรือความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในกรณีเช่นนี้ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จะให้บริการข้อมูลด้านสวัสดิการสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หรือช่วยเป็นสื่อกลางในการสื่อสารภายในครอบครัว เฉินซือเจี๋ยยกตัวอย่างเกี่ยวกับการอยู่ไฟหลังคลอดบุตร ในบางพื้นที่ของเวียดนามมีความเชื่อว่า หากมีผู้มาเยี่ยมแม่หลังคลอดในช่วงอยู่ไฟ ผู้มาเยี่ยมอาจเผชิญกับโชคร้าย แต่สำหรับชาวไต้หวัน การไปเยี่ยมแม่หลังคลอดถือเป็นเรื่องปกติ เป็นการแสดงถึงความห่วงใย ในกรณีเช่นนี้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีเจตนาดี แต่ก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงสามารถเข้ามาเป็นสื่อกลางช่วยสื่อสาร ทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกัน และหาทางออกที่เหมาะสม นอกจากนี้ หากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ต้องการได้ข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมอื่นๆ หรือวิธีการยื่นขอทำบัตรประชาชน ไปจนถึงการจัดการปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและปัญหาการหย่าร้าง เป็นต้น ก็สามารถสอบถามศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ได้เช่นกัน ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ให้บริการแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา โดยเริ่มตั้งแต่การโทรศัพท์แสดงความห่วงใย และการไปเยี่ยมเยียนที่บ้าน เพื่อให้บริการด้านข้อมูลและทรัพยากรต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หรือให้บริการตามเคส เชื่อมโยงทรัพยากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในชุมชน เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เข้มแข็ง เช่น การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย บริการล่าม และหลักสูตรปรับตัวในการใช้ชีวิตในไต้หวัน เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ส่วนใหญ่ให้บริการเช่นกัน ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ทำงานในแนวหน้า มักสังเกตเห็นว่ากฎหมายบางข้อยังไม่ครอบคลุมความต้องการเร่งด่วนของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เช่น ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นแรกที่อพยพมาไต้หวันในช่วงปี พ.ศ. 2523 ถึง 2533 กำลังเข้าสู่วัย 65 ปี และกำลังเผชิญกับปัญหาการดูแลระยะยาว (Long-term care) แต่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ต้องการรับบริการการดูแลระยะยาวจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีประชาชนไต้หวัน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการดูแลผู้สูงอายุที่รัฐบาลจัดให้ได้ และผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สูงอายุเหล่านี้ ก็อาจไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอในการดำเนินเรื่องขอเอกสารที่ยุ่งยาก ข้อจำกัดด้านสถานะและกฎหมายด้านสวัสดิการสังคม จึงอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตในบั้นปลายของพวกเขา เมื่อเผชิญกับปัญหาโครงสร้างทางกฎหมายด้านการดูแลระยะยาวสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เฉินซือเจี๋ยมองว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการระดมความคิดเห็น ปัจจุบัน ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ถือบัตรถิ่นที่อยู่ถาวรยังคงเข้าถึงบริการดูแลระยะยาวของรัฐได้ยาก ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงมักต้องขอความช่วยเหลือจากภาคประชาสังคม แต่สุดท้ายแล้วนี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว การตัดสินใจทำบัตรประชาชนของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ยังขึ้นอยู่กับกฎหมายสัญชาติของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม เธอหวังว่าระบบสวัสดิการสังคมของไต้หวันจะสามารถครอบคลุมผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางให้ได้รับบริการดูแลระยะยาวได้ก่อน ให้บริการครบวงจร ตั้งแต่ความช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงคำปรึกษาทางกฎหมาย นอกจากนี้ ทางด้านหวังรุ่ยเซวียน (王睿璿) นักสังคมสงเคราะห์จากศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และศูนย์ส่งเสริมพลังสตรี เขตปั่นเฉียว นครนิวไทเป ก็ชี้ให้เห็นว่า เนื่องจากเมื่อผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ย้ายมาอยู่ไต้หวัน พวกเขามักเผชิญกับปัญหาด้านการปรับตัว การหางานทำในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย หน่วยงานที่ให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงควรให้ความสำคัญกับความอ่อนไหวทางวัฒนธรรมและเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม เช่น คนไต้หวันมักจะคิดว่า เมื่อพวกเขาใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่พยักหน้า แสดงว่าเข้าใจ แต่ในความเป็นจริง การพยักหน้าอาจเป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่ากำลังตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจเนื้อหาที่อีกฝ่ายพูดทั้งหมด การจัดกิจกรรมเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ทางศูนย์ฯมักจะจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในครอบครัว การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการเรียนรู้ภาษา โดยการเชิญชวนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นโอกาสที่สามารถรับรู้ถึงความต้องการของพวกเขา และเชื่อมโยงไปยังแหล่งทรัพยากรที่เกี่ยวข้องได้ สวีอี่เหวิน(徐乙文) นักสังคมสงเคราะห์จากศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และศูนย์ส่งเสริมพลังสตรี เขตปั่นเฉียว กล่าวว่า พวกเขามักจัดโครงการฝึกอบรมทักษะอาชีพ เสริมสร้างทักษะการเลี้ยงดูบุตร และจัดกลุ่มบำบัดเพื่อผ่อนคลายความเครียด ออกแบบกิจกรรมให้สนุกสนานเพื่อดึงดูดให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เข้าร่วม อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ภาระงานที่หลากหลาย ข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร รวมถึงอุปสรรคในการประสานงานข้ามหน่วยงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อบทบาทและการพัฒนาของศูนย์ สวีอี่เหวินกล่าวเสริมอีกว่า ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในการให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ยังคงเป็นเรื่องของสัญชาติ หากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไม่ได้รับสัญชาติไต้หวัน ก็ยากที่จะเข้าถึงสวัสดิการสังคมของไต้หวัน แต่กฎหมายว่าด้วยสัญชาติยังคงเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เผชิญกับอุปสรรคมากมายในการหาทรัพยากรสนับสนุน ส่วนนักสังคมสงเคราะห์ก็ทำได้เพียงพยายามอย่างเต็ม ในการค้นหาทรัพยากรจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำมาช่วยเหลือพวกเขา เมื่อกล่าวถึงการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่กับหน่วยงานเครือข่ายต่าง ๆ สวีอี่เหวินชี้ให้เห็นว่า ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สามารถให้ความช่วยเหลือด้านการใช้ชีวิตแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เจ้าหน้าที่ทำงานกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มาอย่างยาวนาน จึงมีความเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี สามารถให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาจเผชิญกับความยากลำบากในการปรับตัว ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม หรือปัญหาด้านการขอคำปรึกษาทางกฎหมายเกี่ยวกับสถานะ ตลอดจนปัญหาด้านกำแพงภาษา นอกจากนี้ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ยังสามารถใช้จุดแข็งของตนเองได้อย่างเต็มที่ ในการทำงานร่วมกับหน่วยงานในเครือข่าย อาทิ ศูนย์บริการสวัสดิการสังคม ศูนย์ป้องกันความรุนแรงในครอบครัวและการล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อให้บริการแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ตามความเชี่ยวชาญ ศูนย์บริการครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ดำเนินการมากว่า 20 ปี กลายเป็นผู้ช่วยสำคัญในการสนับสนุนการปรับตัวของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวัน พร้อมเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ควบคู่ไปกับจำนวนประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี นอกจากการให้บริการที่ครอบคลุมทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และกฎหมายแล้ว ทางศูนย์ฯยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรัฐบาล สังคม และผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องสัญชาติและกฎหมายด้านสวัสดิการยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในอนาคต หวังว่าไต้หวันจะสามารถพัฒนาเครือข่ายการสนับสนุนและสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์และสร้างสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่เป็นมิตรและหลากหลายสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาศัยอยู่ในไต้หวันมากยิ่งขึ้น
บันทึกชีวิตในไต้หวัน : เกือบเรียนไม่จบเพราะเงินหมด แต่ไม่ท้อถอย สู้กับมันสักตั้ง ft.อาจารย์พุฒ
ไม่มีเส้นทางไหนโรยด้วยดอกกุหลาบ บันทึกชีวิตไต้หวันสัปดาห์นี้ พาไปฟังบทสัมภาษณ์ของอาจารย์พุฒ กับเส้นทางชีวิตในไต้หวัน ที่เกือบจะเรียนไม่จบ เพราะในช่วงที่เรียนปี 2 นำเงินที่เดิมทีเก็บไว้เรียนต่อไปทำธุรกิจ แต่ธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง เเงินหมด ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ในตอนนั้นมีเพียงสองทางเลือกคือสู้ต่อหรือกลับบ้าน แต่อาจารย์พุฒไม่ย่อท้อ เลือกที่จะสู้ต่อ และทำทุกงานที่ทำได้ เพื่อเก็บเงินส่งเสียตัวเองจนเรียนจบ ไต้หวันทำให้อาจารย์พุฒในวัยหนุ่มแข็งแกร่งขึ้น และยืนหยัดด้วยตนเอง จนกลายมาเป็นอาจารย์ในปัจจุบัน อาจารย์พุฒผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากมาได้อย่างไร ไปรับฟังพร้อมกันในรายการเลยค่ะ คลิกฟังรายการที่นี่ ทำไมถึงเลือกมาเรียนไต้หวัน ย้อนกลับไป 10 ปี ถามว่าอะไรคือสิ่งที่จุดประกายให้เราเลือกที่จะมาเรียนไต้หวัน ตอนที่เรียนปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีอยู่วิชาหนึ่ง อาจารย์ที่สอนเราเป็นอาจารย์ที่มาจากไต้หวันเรารู้สึกชอบอาจารย์คนนี้มากเรารู้สึกว่าเค้าใจดี สอนรู้เรื่อง และในระหว่างที่เค้าสอน เค้าพยายามพูดถึงไต้หวัน พูดถึงการศึกษาของไต้หวัน พูดถึงมหาวิทยาลัยของไต้หวันในด้านดีดีให้เราฟัง เราก็เลยรู้สึกว่าชอบ และอยากจะมาสัมผัสการเป็นนักเรียนในไต้หวันสักครั้งหนึ่ง อาจเป็นการเรียนภาษา มาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนหรือมาเรียนปริญญา หลังจากนั้นประมาณเดือนถึงสองเดือน คณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็เปิดรับสมัครนักศึกษาแลกเปลี่ยน เพื่อที่จะมาแลกเปลี่ยนมหาวิทยาลัยในไต้หวัน เรารู้สึกว่าอาจจะเป็นโอกาสของเราที่จะมาเรียนไต้หวัน เราก็เลยสมัคร และในวันสัมภาษณ์เรารู้สึกว่าเราทำได้ดี เพราะเราก็เคยเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่จีนมาสองครั้ง เคยไปอเมริกามา เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติดีพอที่น่าจะได้รับการคัดเลือก แต่ผลปรากฏว่าเราไม่ได้ เรารู้สึกเฟลมาก ก็ได้แต่เก็บคำถามและความคับแค้นใจนี้เอาไว้ จนเรียนจบแล้วได้กลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคใต้ในฐานะทีเอ ตอนนั้น เราชอบการสอนมาก แต่จู่จู่มหาลัยก็เปลี่ยนนโยบาย ยกเลิกตำแหน่งนี้ แล้วเอาเราเลื่อนไปอยู่ในอีกตำแหน่งหนึ่งที่ลดทั้งภาระงานทั้งตำแหน่งและลดเงินเดือนด้วย เรารู้สึกว่ามันไม่แฟร์ จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญา ตอนนั้นเพื่อนๆคนอื่นก็ถามว่าทำไมถึงลาออก เราก็บอกว่าจะไปเรียนต่อ เค้าก็ถามว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน ชื่อแรกที่โผล่ขึ้นมาในสมองก็คือไต้หวัน ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่ได้เริ่มหามหาวิทยาลัย เรายังไม่รู้เลยว่าไต้หวันมีมหาลัยไหนดัง ไม่มีความรู้อะไรเลย พอทุกคนที่นั้นรับรู้ว่าเราจะไปไต้หวันแล้ว เรารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมาศึกษาข้อมูลว่าไต้หวันมีมหาวิทยาลัยอะไร ถ้าจะไปเรียนสาขานี้ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน ถ้าชอบเมืองแบบนี้ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามาไต้หวัน คือการพรั่งปากพูดไปว่าฉันจะไปเรียนที่ไต้หวัน อาจจะฟังดูตลก แต่มันก็มีผลมาจนถึง ณ ปัจจุบัน ที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ สู้ต่อหรือกลับบ้าน กว่าจะเดินทางมาจนถึงจุดนี้ ช่วงแรกที่มา มีความยากลำบากในการสื่อสาร ภาษาจีนได้เพียงงูๆปลาๆ ไม่สามารถสื่อสารกับคนท้องถิ่นได้ อย่างที่สอง การที่คุณมาเริ่มต้นอะไรใหม่ๆในต่างประเทศ ในสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคย ทั้งผู้คน ทั้งภาษา ทั้งวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ต่างๆ มันมีความยากลำบากในการปรับตัว สิ่งที่ยากที่สุดกว่าจะเดินทางมาจนถึงจุดนี้ มันเกิดขึ้นในช่วงปีสองของการเรียนปริญญาโท ช่วงนั้นตอนกลับไทย มีเพื่อนชวนไปทำธุรกิจที่ประเทศจีน โดยเอาของที่ไทยไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าที่จีน ซึ่งเพื่อนเราเคยไปก่อนหน้านั้น แล้วได้เงินมาเป็นล้าน เขาบอกว่าธุรกิจนี้มันรุ่งมาก และเพื่อนก็ชวนเราไปด้วย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก รู้สึกว่าเพื่อนประสบความสำเร็จ เราก็น่าจะประสบความสำเร็จแบบเพื่อนได้ เราก็เลยนำเงินเก็บที่เรามีอยู่ ซึ่งสำรองไว้เพื่อที่จะเรียนปริญญาโทให้จบ และเรายังขอที่บ้านมาด้วย รวมๆแล้ว 4 แสนกว่าไปทำธุรกิจ แต่ผลประกอบการไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือพูดง่ายๆว่าเจ๊ง เงินหมด ทำให้เรารู้สึกเฟลกับชีวิตว่าทำไมเราถึงล้มเหลวได้ขนาดนี้ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า จะไปต่อหรือกลับประเทศไทย เพราะเงินที่สำรองไว้เพื่อที่จะมาเรียนไม่เหลือแล้ว อย่างที่สองคือ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะขอที่บ้าน เพราะขอไปทำธุรกิจแล้ว เรามีแค่สองทางเลือก คือเราสู้ต่อหรือกลับบ้าน ตอนนั้น ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง ไม่สามารถหาเงินมาจุนเจือให้ตัวเองเรียนต่อ จึงคิดว่ากลับบ้านคือเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว แต่จุดที่ทำให้เปลี่ยนใจ คือเพื่อนๆรอบตัวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ บอกให้สู้ต่อ ให้เรียนต่ และให้ยืมเงิน จนทำให้เราสะสมเงินได้เพื่อจ่ายค่าเทอม 8 หมื่นเหรียญไต้หวัน เป็นจุดที่เราสามารถสู้ต่อได้นะ พอได้เงินค่าเทอมแล้ว เราก็เริ่มที่จะไปหางานทำ เพื่อหารายได้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และด้วยความที่เราพูดภาษาจีนไม่ได้ งานที่เราทำได้คือการเป็นกรรมกรในร้านอาหาร และอยู่ในครัวอย่างไม่มีทางเลือก ถึงแม้ก่อนหน้านั้น เราจะเคยเป็นอาจารย์ ใช้ชีวิตเรียบหรูยังไงก็ตาม แต่สถานการณ์ขับขัน เราไม่มีทางเลือก เราต้องทำได้ ถามว่าโอเคไหม ช่วงแรกๆก็ไม่โอเค เราทำงานหนักมาก แต่โดนกดค่าจ้างและโดนนายจ้างขอให้ออก จึงไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน เพื่อนก็แนะนำร้านอาหารไทยที่เจ้าของเป็นคนพม่า ก็ขอยกความดีความชอบให้ที่นี่ เพราะเราทำกับเขามาประมาณ 5 ปี เจ้าของที่นี่ใจดี ค่าจ้างก็เป็นธรรม เรารู้สึกว่าเขาเห็นอกเห็นใจคนต่างชาติที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาพยายามจัดตารางงานของเราไม่ให้กระทบต่อการเรียน ซึ่งเราสามารถหารายได้ได้ประมาณเดือนละ 2 หมื่นกว่าเหรียญ ช่วงปิดเทอมก็ได้ประมาณ 3-4 หมื่น ณ ตอนนั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากที่ทำให้เราสามารถซัปพอร์ตตัวเอง จนทำให้จบปริญญาเอกได้ ซึ่งตอนปริญญาเอกก็โชคอย่างหนึ่งที่เราก็ได้ทุนจากมหาวิทยาลัย คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ต้องบอกว่าชีวิตมันยากลำบาก มื้อไหนจ่ายเกิน 100 เหรียญ จะรู้สึกผิดแล้ว สำหรับใครที่ท้อแท้กับชีวิต ให้นึกเสมอว่า ยังมีคนที่ลำบากยิ่งกว่าเรา เพราะฉะนั้นอย่าท้อแท้กับชีวิต ลองสู้กับมันสักตั้งหนึ่ง แล้วคุณจะรู้ว่า คุณสู้ได้ ช่วงนั้นเคยคิดสั้นไหม? การคิดสั้นไม่เคยอยู่ในหัว เพราะเรารู้สึกว่าเรามีครอบครัวที่รักเรามาก และเราก็รักครอบครัวมาก การคิดสั้น สำหรับเราคือการทำลายครอบครัว สำหรับใครที่คิดสั้น อยากให้นึกถึงครอบครัว การที่คุณจากไป คุณอาจจะสบาย อาจจะไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แต่คนที่อยู่ข้างหลังเขาจะเป็นยังไง การคิดสั้นเป็นเพียงการตัดปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา ปัญหาอาจจะหมดไปสำหรับคุณ แต่คุณอาจจะทิ้งปัญหาให้คนที่อยู่ข้างหลังคุณหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคิดดีๆ คิดเยอะๆ ก่อนที่จะคิดสั้น ยังมีคนที่รักคุณอยู่เสมอบนโลกใบนี้ สิ่งที่ได้เรียนรู้กับการใช้ชีวิตในไต้หวัน เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากๆ อย่างตอนอยู่ที่ไทย ด้วยความที่เราเป็นลูกคนสุดท้อง เราจะได้รับความรักทั้งจากพ่อแม่ พี่ๆ เรารู้สึกว่าชีวิตเราสะดวกสบาย มีความสุขอะไรเช่นนี้ แต่พอเรามาอยู่ไต้หวัน ไต้หวันเป็นที่ๆสอนให้เราแกร่งขึ้น บทเรียนที่ไต้หวันมอบให้ คือเรื่องของการคบเพื่อน อย่างตอนที่เราล้ม เราจะพบว่าใครพร้อมที่จะช่วยเรา และใครที่พร้อมจะตีจากจากเรา
บันทึกชีวิตในไต้หวัน : เกาะมหาสมบัติ ชวนมองไต้หวันผ่านแว่นของดอกเตอร์พุฒ
บันทึกชีวิตในไต้หวัน สัปดาห์ยังอยู่อยู่กับ ดร.จิระศักดิ์ รักการ ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.เหวินจ่าว ที่จะมาเล่าเรื่องราวชีวิตในไต้หวัน โดยเฉพาะนครเกาสง ซึ่งเป็นเมืองที่ ดร.พุฒพำนักอาศัยอยู่มานานกว่า 10 ปี เมืองนี้มีดีอะไร มีเสน่ห์ตรงไหน ทำไมถึงทำให้ ดร.พุฒหลงรักได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ ดร.พุฒจะมาแบ่งปันมุมมองและความคิดเห็นที่มีต่อนโยบายต่างๆของไต้หวัน ไปทำความรู้จักกับไต้หวันให้มากขึ้น ผ่านมุมมองของ ดร.ท่านนี้กันเลยค่ะ คลิกฟังรายการที่นี่ เสน่ห์ของนครเกาสง เมืองที่ ดร.พุฒอยู่มานานถึง 10 ปี หากถามว่านครเกาสงมีดีอะไร ต้องย้อนความก่อนว่า ตอนอยู่ไทย เราอยู่ต่างจังหวัด เราชอบชีวิตที่สบายๆ ชิวๆ เมื่อเราเคยย้ายมาอยู่กรุงเทพ เรารู้สึกว่าเราไม่ชอบ พอต้องย้ายประเทศมาอยู่ไต้หวัน นครเกาสงจึงถือเป็นเมืองที่ตอบโจทย์ของเรา นครเกาสงเป็นเมืองที่เจริญ แต่มันก็ไม่ใช่เมืองหลวงที่มีความวุ่นวาย ดังนั้นการใช้ชีวิตในเกาสง มันก็เหมือนกับการที่เราใช้ชีวิตในต่างจังหวัดของประเทศไทย เมืองมันไม่ได้เร่งรีบ ค่าใช้จ่ายค่าครองชีพก็ยังถูกอยู่ อย่างที่ 2 ที่ชอบเลยก็คือผู้คน รู้สึกว่าผู้คนเขาก็ใจดี เขาพร้อมให้การช่วยเหลือเมื่อเราถามคำถาม หรือเราต้องการความช่วยเหลือจากเขา อย่างที่ 3 คือเรื่องของความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่เมืองหลวง แต่ความสะดวกสบายในที่นี้หมายถึงเรื่องของการคมนาคม การขนส่งมีความสะดวกสบายมาก รถเมล์มีหลายสาย ตรงต่อเวลา มี MRT มีรถราง มันตอบโจทย์การใช้ชีวิตของเรา มันสะดวกสบาย แต่ในความสะดวกสบายมันไม่มีความเร่งรีบหรือความวุ่นวาย อย่างที่ 4 สิ่งที่เราชอบคือที่นี่เป็นเมืองที่มีแม่น้ำ มีภูเขา แล้วก็มีทะเล เพราะฉะนั้นมันเปลี่ยนบรรยากาศ มันเปลี่ยนความรู้สึกของเรา เวลาเราไปเที่ยว บางทีเราไปเที่ยวทะเล เราเบื่อทะเลแล้ว เราไปเที่ยวภูเขา เราไปปีนเขา เราเบื่อภูเขาแล้ว เราไปเดินริมแม่น้ำ มันเปลี่ยนโหมด เปลี่ยนมู้ด เปลี่ยนความรู้สึก เราชอบความชิวๆความหลากหลายของเกาสง ในช่วง 10 ปีเกาสงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ต้องบอกเลยว่าเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ทั้งความเจริญ ตึกรามบ้านช่อง การพัฒนา ผู้คน ร้านอาหาร เปลี่ยนแปลงไปหมดเลย ช่วง 10 ปีที่แล้วตอนที่เรามา เรารู้สึกว่าเกาสงก็มีตึกเยอะนะ แต่ทำไมตึกมันเก่าๆ มันรู้สึกล้าสมัย ไม่โมเดิร์น เรารู้สึกว่าเกาสงน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ 3 ปีผ่านไป 5 ปีผ่านไป เกาสงที่ ณ ตอนนั้นมีแต่การก่อสร้าง ตึกรามบ้านช่องเหล่านั้นมันเริ่มถูกสร้างเสร็จ มันมีความสวยงาม มันมีความโมเดิร์นขึ้น ท่าเรือมีการสร้างใหม่ ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์ดนตรีมีการสร้างใหม่ Museum มีการสร้างใหม่ ทุกอย่างมันเสร็จพร้อมๆกัน ก็ทำให้เกาสงมันเป็นเมืองที่มีความโมเดิร์นขึ้น มีการพัฒนาขึ้น ดังนั้น สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่เราเห็นได้ชัดก็คือเมือง ความสวยงามของตึกรามบ้านช่องความทันสมัยของเมือง อย่างที่ 2 คือเรื่องการคมนาคม ตอนแรกตอนที่มาเกาสง ที่นี่มีแค่ MRTกับรถเมล์ ซึ่ง MRT ก็ไม่ได้ยาวมาก มีแค่สองสายและมีไม่กี่สถานี จะไปไหนก็อาจต้องนั่งรถเมล์ หรือนั่งแท็กซี่ต่อไปอีกทอด แต่ ณ ตอนนี้มีการสร้างรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) ที่มันวนรอบเมือง ดังนั้น มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เรามี MRT 2 สายกับ LRT 1 สาย รวมเป็นสามสาย ที่มันสามารถครอบคลุม 60 ถึง 70% ของเมือง ซึ่งถือว่าเป็นการขยายสถานีการคมนาคมที่เพิ่มขึ้น อย่างที่ 3 การพัฒนาของสวนสาธารณะ เมื่อก่อนเมื่อผ่านสวนสาธารณะริมอ้ายเหอ หรือ Central Park เรารู้สึกว่ามันก็ธรรมดา มันไม่ได้ไปถึงแล้วว้าวอะไร แต่ช่วงหลังๆ รู้สึกว่าเขามีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ เราไปดูสวนสาธารณะริมอ้ายเหอ สวนสาธารณะ Central Park หรือสวนสาธารณะ อื่นๆ ในเกาสงเขามีการปรับปรุงใหม่ ก็รู้สึกว่ามันมีความสวยงาม มีความร่มรื่น ดึงดูดให้ผู้คนไปพักผ่อน ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่ารัฐบาลท้องถิ่นเขาใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ นอกจากความต้องการของคนในพื้นที่เองแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือนโยบายของผู้นำ ถ้าเรามีผู้นำดี มีนโยบายที่ดี การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเขาเป็นคนที่กุมอำนาจทุกอย่าง เขาเป็นคนที่สามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง หากจะบอกว่าปัจจัยอะไรสำคัญ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดว่านโยบายของผู้นำ นโยบายการศึกษาของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถ้าถามถึงความสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ไม่ว่าจะจะเป็นในเรื่องของภาษาหรือวัฒนธรรม รู้สึกว่ามันเป็นนโยบายที่ดีมาก อย่างแรก มันคือการเปลี่ยนแปลงมุมมองของคนไต้หวันเกี่ยวกับ Southeast Asia เอเชียตะวันออกเชียงใต้ไม่ได้มีดีแค่การเป็นแรงงานให้กับคนไต้หวัน แต่เรายังมีวัฒนธรรม มีอาหาร มีผู้คน เรามีอะไรอีกเยอะแยะมากมายในด้านดีๆ ซึ่งมันเป็นการที่ดีมากๆ ถ้าเราได้นำสิ่งนี้ไปเผยแพร่ให้คนไต้หวันได้รับรู้ อย่างที่สอง เป็นการเปิดโอกาส เปิดพื้นที่ให้คนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มีการนำเสนอ เผยแพร่วัฒนธรรมของตัวเอง หรืออาจจะเป็นเวทีให้คนในชาติเดียวกันมาพบปะสังสรรค์กันด้วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญด้วยการให้งบประมาณ เราจะเห็นว่าหลายหลายโรงเรียน ทั้งโรงเรียนประถมโรงเรียนมัธยม เริ่มมีการเปิดสอนภาษาเกี่ยวกับ Southeast Asia มากขึ้น และมีการเปิดโอกาสให้ครูจากเอเชียตะวันออกเชียงใต้ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เข้าไปเป็นครูอาจารย์รูในการสอนภาษาและวัฒนธรรมเหล่านั้น อย่างที่สอง หลายปีที่ผ่านมา มีกิจกรรม มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ อย่างเช่น ตลาดอาหารเกี่ยวกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ตลาดเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการแสดงของผู้คนที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกิจกรรมการแข่งขันกีฬาจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบางทีกลุ่มพี่น้องแรงงาน เขามีความเหน็ดเหนื่อย มีความเครียดจากการทำงาน เพราะฉะนั้นการที่เรามีเวที มีกิจกรรมเหล่านี้ ให้เขาเหล่านี้ไดเมาอยู่ด้วยกัน ได้มาผ่อนคลาย ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก มันช่วยลดความเครียดจากการทำงาน และลดระดับความคิดถึงบ้านได้ด้วยเหมือนกัน เราได้เจอคนจากประเทศเดียวกัน เราได้เล่นกีฬาที่เราเคยเล่น เราได้กินอาหารที่เราชอบ ช่วยคลายเครียดและทำให้เราหายคิดถึงบ้านได้เหมือนกัน มุมมองที่มีต่อนโยบายแรงงานต่างชาติในไต้หวัน ในความเห็นส่วนตัว เรารู้สึกว่า มุมมองของรัฐบาลที่มีต่อนโยบายแรงงานต่างชาติ เขามองแรงงานต่างชาติเป็นคน เขาไม่ได้มองแรงงานต่างชาติเป็นเครื่องจักรที่มาช่วยในการหมุนเวียนเศรษฐกิจ มาช่วยในการประกอบธุรกิจของเขา ซึ่งการที่เขามองแรงงานต่างชาติเป็นคน จะเห็นได้จากรัฐบาลต้องการที่จะปกป้องแรงงานต่างชาติเหมือนคน หนึ่งคือเรื่องของหลักประกันสุขภาพ บัตรประกันสุขภาพ ซึ่งมันช่วยได้เยอะมาก ถ้าเกิดมีการเจ็บป่วยในไต้หวัน มันมีความสะดวกมาก สะดวกทั้งในเรื่องของการไปหาหมอ สะดวกทั้งในเรื่องของการใช้จ่าย อย่างที่สอง คือในเรื่องของการมีความเป็นธรรมด้านค่าจ้าง มันมีการปรับขึ้นทุกปี ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ที่ไต้หวันจะมีการปรึกษาหารือ พูดคุยจากทั้งสามฝ่าย ได้แก่ ฝั่งรัฐบาล ตัวแทนนายจ้างและตัวแทนของลูกจ้างจนได้ข้อสรุป ที่จะต้องมีการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อให้มันสอดคล้องกับค่าของชีพ สอดคล้องกับเงินเฟ้อ เรารู้สึกว่ามันเป็นนโยบายที่เป็นธรรม คุณทำงาน ค่าของชีพคุณสูงขึ้น เพราะฉะนั้นค่าจ้างคุณก็ควรจะสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้ก็สะท้อนว่า เมื่อเรามองแรงงานต่างชาติเป็นคน เราก็จะดูแลทั้งในเรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพจิตไปพร้อมกัน หวังรัฐบาลเพิ่มทางเลือกในการทำงานให้แก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ในส่วนของพี่น้องแรงงานต่างชาติอาจจะต้องทำงานในโรงงาน ไม่มีทางเลือกในการทำงานมากนัก ส่วนในแง่ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ความรู้สึกส่วนตัว เรารู้สึกว่า คนที่เรารู้จัก ถ้าเขามาแต่งงานกับคนไต้หวัน เขามีทางเลือกไม่เยอะเลย ก็คือการเป็นแม่บ้านหรือเปิดร้านอาหาร เราไม่ได้หมายความว่าการเป็นแม่บ้านหรือการทำงานร้านอาหารเป็นเรื่องที่ผิด เราสามารถสร้างงานสร้างอาชีพกับการทำงานเหล่านี้ได้ แต่รู้สึกว่ามันจะเป็นการดี ถ้ารัฐบาลเพิ่มทางเลือกให้เขาาเหล่านี้ อย่างตอนนี้ที่เห็นได้ชัดก็คือรัฐบาลมีนโยบายให้กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไปฝึกอบรมเป็นครูสอนภาษา หากมีสถาบันสอนภาษาที่ไหนเปิดรับสมัคร เขาาก็สามารถนำเอาประกาศนียบัตรที่ผ่านการฝึกอบรมนี้ไปสมัครงานได้ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มช่องทางในการทำมาหากิน นโยบายในไต้หวันที่ชื่นชอบหรือสิ่งอยากแบ่งปัน อันดับแรกรู้สึกว่าไต้หวันเป็นประเทศประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียง จึงรู้สึกว่ารัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น ผู้คนก็สิทธิ์ของเขา รัฐบาลเคารพสิทธิ์ของเขา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันดีมากๆเลย อันดับที่สองคือ ความเท่าเทียม ไต้หวันเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ผ่านนโยบายสมรสเท่าเทียมของเพศเดียวกัน เรารู้สึกว่ามันดีมากๆเลยที่เขาให้สิทธิ์ทุกคนเท่าๆกัน โดยไม่ได้เลือกเพศใดเพศหนึ่ง 2 อย่างนี้เป็นสิ่งที่ชื่นชอบมาก ไต้หวันเป็นเกาะแห่งมหาสมบัติ หากจะให้นิยามไต้หวัน ขอนิยามว่าไต้หวันเป็นเกาะมหาสมบัติ ซึ่งสมบัติในที่นี้ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่เพชรนิลจินดาอะไร สมบัตินี้มันคือโอกาส เมื่อคุณมาถึงเกาะ คุณจะต้องเริ่มขุดมัน ถ้าคุณมาถึงก่อนแล้วคุณอยู่เฉยเฉยคุณจะไม่ได้อะไร แต่ถ้าคุณขุดเจอมัน คุณก็จะประสบความสำเร็จในการอยู่อาศัยบนเกาะแห่งนี้