12 ก.ค. 63 (เย็น) - สงบเพราะรู้ : ความสงบใจมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือสงบเพราะไม่รู้ หรือตัดการรับรู้ เช่น บังคับไม่ให้มีเสียงดัง หรือมาอยู่วัดก็ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ไม่พูดคุยกันเอง หรือแม้จะมีเสียงแต่เราตัดการรับรู้ เช่น หลับตา พยายามบังคับจิตให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น อยู่กับลมหายใจ หรือเอาจิตมาเพ่งที่เท้าขณะเดิน แม้เสียงรอบตัวจะดังแค่ไหน แต่จิตไม่รับรู้ เพราะจดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียว อย่างนี้ใจก็สงบได้ ในทำนองเดียวกันบางคนก็สงบได้เมื่อเก็บตัวอยู่ในห้องพระ ห้องแอร์ อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว มีกา...
12 ก.ค. 63 (เย็น) - สงบเพราะรู้ : ความสงบใจมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือสงบเพราะไม่รู้ หรือตัดการรับรู้ เช่น บังคับไม่ให้มีเสียงดัง หรือมาอยู่วัดก็ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ไม่พูดคุยกันเอง หรือแม้จะมีเสียงแต่เราตัดการรับรู้ เช่น หลับตา พยายามบังคับจิตให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น อยู่กับลมหายใจ หรือเอาจิตมาเพ่งที่เท้าขณะเดิน แม้เสียงรอบตัวจะดังแค่ไหน แต่จิตไม่รับรู้ เพราะจดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียว อย่างนี้ใจก็สงบได้ ในทำนองเดียวกันบางคนก็สงบได้เมื่อเก็บตัวอยู่ในห้องพระ ห้องแอร์ อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว มีการตัดเสียงรบกวนและไม่ให้คนเข้ามายุ่มย่าม จึงไม่มีการรับรู้ที่จะทำให้จิตใจกระเพื่อมได้ ไม่ต้องรับรู้ข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมือง อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะไม่รู้ หรือตัดการรับรู้ เกิดจากการควบคุมสิ่งแวดล้อม หรือควบคุมจิตใจให้แน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ความสงบใจอย่างที่ ๒ คือสงบเพราะรู้ หมายความว่าแม้หูได้ยินเสียง ตาเห็นรูป แต่ใจก็สงบได้ บางครั้งอาจจะกระเพื่อมเพราะเห็นรูปหรือได้ยินเสียง แต่เมื่อใจกระเพื่อมแล้วมีสติรู้ รู้แล้ววาง ก็ทำให้สงบต่อไปได้ ความสงบชนิดนี้อาศัยสติเป็นพื้นฐาน เสียงดังแต่ใจยังสงบได้ อย่างที่เคยเล่าเรื่องหลวงปู่บุดดาว่า มีเสียงเกี๊ยะดังเข้ามาในห้องที่ท่านจำวัดอยู่ ลูกศิษย์รู้สึกรำคาญ แต่ท่านไม่รู้สึกรำคาญ ใจยังสงบได้เพราะไม่เอาหูไปรองเสียงเกี๊ยะ ทำอย่างไรจึงจะไม่เอาหูไปรองเสียงเกี๊ยะได้ ก็ต้องมีสติกำกับใจ หูก็จะไม่หาเรื่อง เสียงดังแต่ใจไม่กระเพื่อมเพราะเสียงนั้น อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ สงบทั้ง ๆ ที่ได้ยินเสียง แต่สงบได้ เพราะรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีผัสสะมากระทบ
ความสงบที่ดีที่สุดคือ สงบเพราะรู้ เริ่มต้นด้วยการรู้เพราะสติ ต่อจากนั้นก็รู้ด้วยปัญญา จะทำเกิดสภาวะจิตอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตัวอยู่ในโลก แต่จิตอยู่พ้นโลก หรือจิตอยู่เหนือโลก เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่เกิดในน้ำ โตในน้ำ แต่สามารถเจริญพ้นน้ำได้ นี้คือสภาพจิตของคนที่มีปัญญา เกิดในโลก โตในโลก แต่จิตอยู่เหนือโลกได้ น้ำไม่สามารถฉาบติดดอกบัวหรือใบบัวได้ฉันใด กิเลสหรือความทุกข์ก็ไม่อาจแปดเปื้อนจิตใจได้ฉันนั้น นี้แหละคือความสงบอันประเสริฐสุด ที่เราควรรู้จักและไปให้ถึง
View more