การเตือนมี 2 แบบ คือแบบมีศิลปะ กับแบบไม่มีศิลปะ
[นาทีที่ 3.00]
ในเรื่องๆ เดียวกันที่มีคนเตือน คนเราอาจตอบสนองต่อการเตือนนั้นๆ ไม่เหมือนกัน กับบางคนเราโอเคแต่กับบางคนเราไม่โอเค ที่เป็นแบบนี้เพราะองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น อายุ, ความเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ของคนพูด, ความสัมพันธ์, ความเคารพนับถือ และศิลปะในการเตือนของคนๆ นั้น
ผลของการเตือนที่ไม่มีศิลปะ นอกจากผู้ถูกเตือนจะรู้สึกไม่โอเคจนไม่เปิดใจฟังแล้วยังส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ด้วย คนเราเมื่อเจ็บปวดก็จะพยายามหลีกเลี่ยงในการเผชิญหน้า เมื่อถูกเตือนแบบไม่มีศิลปะบ่อยๆ อาจทำให้คนที่ถูกเตือนรู้สึกไม่ดีจนถึงขั้นหนีหน้าไปเลยเพราะเสียความรู้สึก
พระคัมภีร์สุภาษิตได้ให้หลักการของการเตือนแบบมีศิลปะไว้ว่า …
"คนที่มีคำตอบเหมาะๆ ในปากย่อมยินดี
คำเดียวที่ถูกกาลเทศะก็ดีจริงๆ "
สุภาษิต 15:23 (THSV11)
เราจะพูดให้ถูกจังหวะและถูกคำพูดยังไง?
[นาทีที่ 6.45]
จากหลักการใน สุภาษิต 15:23 แบ่งองค์ประกอบในการเตือนที่ดี เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
คำตอบเหมาะๆ ในปาก = ถูกคำพูด
คำเดียวที่ถูกกาลเทศะ = ถูกจังหวะ
1. พูดให้ถูกจังหวะ
[นาทีที่ 7.27]
จังหวะเป็นสิ่งสำคัญ การผิดจังหวะอาจจะทำให้คนฟังเหวอและวงแตก การพูดให้ถูกจังหวะนั้นแบ่งเป็น 2 รอ ดังนี้…
ในขณะที่อารมณ์ยังไม่พร้อมคนเราไม่สามารถตีความสารที่เราต้องการสื่อได้อย่างเป็นกลาง การเข้าไปคุยกับเขาในเวลานั้นอาจจะยิ่งทำให้เสียเรื่อง นอกจากอารมณ์ของเค้าแล้วข้อนี้ยังหมายรวมถึงอารมณ์ของเราด้วยเพราะบางขณะที่เราเองก็ไม่นิ่ง เช่น เวลาอารมณ์ร้อนๆ เราก็อาจจะพูดอะไรที่ไม่เข้าหู หรือแม้กระทั่งเราพูดคุยด้วยคำปกติ แต่สีหน้าและอารมณ์ก็อาจจะแสดงออกมา และคนฟังเค้าสามารถสังเกตได้
เราไม่ควรรีบด่วนสรุปและตัดสินเขา แม้ว่าเหตุผลที่เขาให้มานั้นจะฟังขึ้นหรือไม่ขอให้เราเปิดใจฟังก่อน และเมื่อถึงเวลาต้องตักเตือน ถ้าเราฟังเขาก่อนแล้วเขาก็จะฟังเราเช่นเดียวกัน
2. พูดให้ถูกคำพูด
[นาทีที่ 14.05]
การพูดความรู้สึกก่อนเป็นการสื่อเข้าไปถึงจิตใจได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อเขา การสื่อสารไปที่หัวใจก่อนจะทำให้เขาเปิดใจรับฟังเรามากกว่าการพูดความคิดเห็น
เดล คาร์เนกี ในหนังสือวิธีเอาชนะมิตรและจูงใจคนได้เขียนไว้ว่า* “ก่อนที่จะพูดถึงความผิดของคนอื่น ให้พูดเรื่องความผิดของตัวเองก่อน”
การพูดความผิดของเราก่อน มีข้อดีคือ เปิดใจอีกฝ่ายให้เห็นว่าทุกคนสามารถทำผิดพลาดได้เหมือนกัน เราเห็นใจเขา และเป็นพวกเดียวกันกับเขาไม่ได้วางตัวอยู่เหนือกว่า เช่น สมัยพี่อายุเท่าเราพี่ก็เคยผิดพลาดในเรื่องนี้…ดังนั้นพี่เข้าใจเรานะ … บลาๆๆ
สีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงที่ปราศจากความรัก ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถูก “ตำหนิ” มากกว่า “การเตือน” ข้อนี้ต่อเนื่องมาจาก EP. 1 พูดตรงๆยังไงไม่ให้พัง? สามารถคลิ๊กฟังย้อนหลังได้ที่นี่ >>> "พูดตรงๆยังไงไม่ให้พัง"
สรุป :
การเตือนจากใจไม่ให้เค้าช้ำนั้นบางครั้งเราก็ต้องเป็นฝ่ายเตรียมใจของเราที่อาจจะช้ำแทนด้วย เพราะบางครั้งสิ่งที่เราเตือนเค้าไปด้วยความรัก เค้าอาจจะฟังหรือไม่ฟังก็ได้ แต่ไม่ว่าจะยังไงเราก็ได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดและได้สำแดงความรักของพระเจ้ากับเค้าแล้ว
สิ่งสำคัญคือให้เราสำรวจใจตัวเองให้ดีด้วยว่า สิ่งที่เรากำลังเตือนเค้านั้นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกของเรา หรือเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความจริงและวิถีของพระเจ้า
“ จะเตือนทั้งทีต้องเตือนด้วย ความจริง พร้อมความรัก อย่างมีศิลปะให้รู้จักรอ และรู้จักพูด” –(พี่วอร์)
[นาทีที่ 27.30]
“เรามีหน้าที่สื่อสารเท่านั้นแต่คนที่จะเปลี่ยนแปลงเค้าคือพระเจ้าไม่ใช่ตัวเรา หรือคำพูดของเรา” –(พี่เจด)
[นาทีที่ 28.12]
_______________________________
● เราเตือนแบบมีศิลปะ มากน้อยแค่ไหน?
● และถ้าเราจะเตือนให้ดีขึ้น จะเริ่มต้นจากอะไรก่อน?
_______________________________
ขอขอบคุณที่ปรึกษาด้านเนื้อหา :
อ. เจนจิต เลิศมาลีวงศ์ อาจารย์ประจำหมวดวิชาพระคัมภีร์ใหม่ โรงเรียนคริสต์ศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์ สวนพลู (TBTS)
*อ้างอิงหลักการบางส่วนจาก: หนังสือวิธีชนะมิตรและจูงใจคน (How to Win Friends and Influence People) ผู้เขียน เดล คาร์เนกี (Dale Carnegie) สำนักพิมพ์ แสงดาว
Create your
podcast in
minutes
It is Free